คนไทยมักติดคำพูดว่า “เขาว่ากันว่า” หรือ “โบราณว่าไว้” สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกส่งต่อมากันจากรุ่นสู่รุ่น บางอย่างจึงล้าสมัยจนถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่ความเชื่อโบราณบางอย่างก็ยังคงถูกยึดถือปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน ไม่เว้นแม้กระทั่งคนสมัยใหม่เองก็ตาม วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่า สิ่งที่คนในสมัยโบราณยึดถือและยังคงถือปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้มีอะไรบ้าง
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
เชื่อไว้ใช่ว่า ความเชื่อโบราณ ทำแล้วชีวิตพัง ระวังด่วน
จิ้งจกทักแล้วห้ามออกจากบ้าน
เรียกได้ว่าเป็นความเชื่อโบราณสุดคลาสสิค ที่เราทุกคนต้องเคยได้ยินกันมาก่อนอย่างแน่นอน เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากำลังจะก้าวเท้าออกจากบ้านหรือแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดันมีจิ้งจกร้องดัง จุ๊ จุ๊ ขึ้นมา มันเป็นการเตือนว่าให้ระวังตัวเอาไว้ให้ดี หลายคนถือเป็นลางร้าย การออกนอกบ้านในครั้งนี้อาจเกิดเรื่องไม่ดีได้
ในบางคนที่เชื่อมาก ๆ หากถูกจิ้งจกร้องทักก่อนออกจากบ้าน ก็ถึงขั้นล้มเลิกแผนการออกบ้านไปเลยก็มี แต่ในสมัยนี้ที่คนเริ่มเชื่อในวิทยาศาสตร์มากขึ้นก็มองว่า สิ่งนี้เชื่อถือไม่ได้ เพราะจิ้งจกมันก็ร้องไปตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว หากเราไม่ออกบ้านทุกครั้งที่จิ้งจกร้องทักก็คงจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
ใครเรียกในตอนกลางคืนห้ามตอบ
หนึ่งในความเชื่อโบราณที่ถือว่าเป็นเรื่องค่อนข้างน่ากลัวก็คือ หากมีใครเรียกในตอนกลางคืนห้ามตอบ ในวัยเด็กหลายคนคงเคยได้ยินผู้ใหญ่เตือนในลักษณะนี้กันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเสียงของใครก็ตาม ห้ามขานรับโดยเด็ดขาด เพราะมันอาจเป็นดวงวิญญาณเร่ร่อนที่เรียกเราอยู่ หากเราตอบกลับไปก็อาจจะถูกวิญญาณดวงนั้นเอาไปอยู่ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าต่อกันมาอีกว่า สิ่งที่ผู้หลักผู้ใหญ่บอกนั้นเกิดมาจากพิธีสังเวยคนในสมัยก่อน ผู้รับผิดชอบงานพิธีมักจะส่งคนออกมาในตอนกลางคืน เดินไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ตะโกนร้องเรียกชื่อคนที่เป็นมงคลอย่าง อิน, จันทร์, มั่น, คง, อยู่, ดี หากใครเผลอขานรับ ก็จะถูกจับตัวไปทำพิธีสังเวย อย่างในละครเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ที่แสดงให้เห็นพิธีกรรมฝังเสาหลักเมืองอันสุดสยองนั่นเอง
หวีหักห้ามเก็บไว้
ใครที่ใช้หวีด้ามโปรดมานานจนมันหักคามือ โบราณว่าไว้ว่าให้ทิ้งไปเลย อย่าใช้ต่อเด็ดขาด ถึงมันจะใช้มานานจนรู้สึกเสียดายหรือซื้อมาแพงแค่ไหนก็ตาม เพราะหวีหักหมายถึงดวงชะตาของเรากำลังจะต้องเจอกับเรื่องไม่ดีในอนาคตอันใกล้ สำหรับในทางวิทยาศาสตร์แล้ว หวีที่หักก็คงจะไม่สามารถหวีผมของเราได้ดีไปกว่าหวีที่สมบูรณ์อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นมันก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้
ไม่ตัดผมวันพุธ
วันพุธห้ามตัด วันพฤหัสบดีห้ามสระ เป็นความเชื่อโบราณที่ถูกส่งต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ว่ากันว่าหากตัดผมในวันพุธจะทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น นอกจากนี้ร้านตัดผมส่วนใหญ่ยังมักจะปิดในวันพุธกันอีกด้วย ยิ่งทำให้เรื่องนี้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ว่ากันว่าความจริงแล้ว การที่ไม่ควรตัดผมในวันพุธนั่นก็เป็นเพราะว่า ในอดีตวันพุธคือวันตัดผมของกษัตริย์ ช่างตัดผมต้องปิดร้านเข้าไปตัดผมให้กับกษัตริย์ และประชาชนธรรมดาทั่วไปก็ไม่ควรตัดผมวันเดียวกับกษัตริย์ด้วย เพราะถือว่าเป็นการตีตัวเสมอท่าน ส่วนเรื่องที่ว่าตัดผมแล้วจะโชคร้ายเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นภายหลัง
อย่าเคาะจานข้าว
สมัยเด็กเวลากินข้าวแล้วใครชอบเคาะจานข้าว หลายคนคงเคยถูกแม่ตีมือมาก่อนอย่างแน่นอน เพราะความเชื่อโบราณว่าไว้ว่า หากเราเคาะถ้วยเคาะชามจนเกิดเสียงดัง จะเปรียบเสมือนกับการเรียกสิ่งที่เรามองไม่เห็นให้มากินข้าวด้วยกัน หากพูดถึงในแง่ของความเป็นเหตุเป็นผลแล้ว ถ้าเราเป็นวิญญาณก็คงไม่ไปกินข้าวเพียงเพราะว่ามนุษย์เผลอเคาะถ้วยเคาะชามอย่างแน่นอน มันจึงเปรียบเสมือนกับกุศโลบายที่ไม่ให้เด็ก ๆ เคาะถ้วยชามเพราะกลัวว่ามันจะแตกเสียหายเสียมากกว่า
อย่ากวาดบ้านตอนกลางคืน
อีกหนึ่งความเชื่อโบราณที่มักถูกถามเสมอว่า ทำไมต้องห้ามกวาดบ้านตอนกลางคืน ซึ่งความเชื่อนี้มาจากความเชื่อที่ว่า การกวาดบ้านหรือทำความสะอาดบ้านในเวลากลางคืน เป็นการกวาดทั้งเงินทองและความมั่งคั่งออกไปจากบ้าน ทำให้บ้านของเราโชคร้ายและไม่มีดวงด้านการเงิน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นความเชื่อที่ไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่ หลายคนจึงมองว่า มันเป็นเพียงแค่เป็นกุศโลบายหนึ่ง ที่ไม่ให้คนทำความสะอาดกลางคืน เพราะอาจเกิดเสียงดังรบกวนคนที่กำลังนอนหลับอยู่นั่นเอง
ห้ามนอนตอนผีตากผ้าอ้อม ความเชื่อโบราณที่มีคำตอบทางวิทยาศาสตร์
เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินเรื่องความเชื่อโบราณที่ว่า อย่านอนตอนผีตากผ้าอ้อม ช่วงเวลาผีตากผ้าอ้อมนั้นเป็นช่วงเวลาตอนเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินไปจนถึงช่วงหัวค่ำ เวลาเราเป็นเด็กก็มักจะถูกผู้ใหญ่เตือนแบบนี้อยู่เสมอ
เพราะเมื่อเรากลับมาจากโรงเรียนหรือทำงาน ความเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน มักทำให้เราอยากทิ้งตัวลงบนโซฟาและพักสายตาสักครู่ คำเตือนที่เราได้ยินเป็นประจำเลยก็คือ ถ้านอนตอนนี้จะฝันร้าย โดนผีอำจนขยับตัวไม่ได้ เห็นภาพหลอน หรืออาจจะนอนหลับไม่ตื่นไปเลย ทำให้หลายคนถือเคล็ดมาจนถึงปัจจุบัน
ในความเป็นจริงนั้นสิ่งนี้มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ นอกเหนือจากความเชื่อโบราณที่สืบทอดกันมาด้วยเช่นกันนั่นก็คือ การที่เรานอนในช่วง 16:00-19:00 น. เป็นการนอนที่ผิดเวลา เป็นการนอนตอนพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน
เมื่อตื่นมาพระอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว สมองและร่างกายจะเกิดความไม่คุ้นชิน สมองจะสั่งให้ร่างกายปรับหลอดเลือดตามอุณหภูมิร่างกายและเวลา จนทำให้มีทั้งการหดและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้รู้สึกปวดหัวเมื่อตื่นขึ้นมา
ส่วนปรากฏการณ์ผีอำสามารถเกิดขึ้นได้จากความอ่อนเพลียและการนอนหลับผิดเวลาเช่นกัน มันเป็นอาการที่สมองของเราตื่นเรียบร้อยแล้ว แต่ร่างกายของเรายังไม่ตื่นตามไปด้วย ทำให้เราเหมือนถูกขังอยู่ในร่างกายของตัวเอง ขยับตัวไม่ได้
ได้ยินเสียงแว่วหรือเห็นภาพหลอนตามที่จิตใต้สำนึกของเราหวาดกลัว หากคุณไม่อยากเผชิญกับปรากฏการณ์เหล่านี้ ขอแนะนำให้อดใจไปอีกสักพัก รอให้ถึงตอนกลางคืนก่อนแล้วค่อยนอนน่าจะดีกว่า
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ Good Horo